ฟีเจอร์
4 พฤษภาคม 2565
ไขเรื่องราวของเสียงแห่งกาแล็กซีอันแสนไกลด้วย Mac
ศิลปินจาก Skywalker Sound แชร์กระบวนการสร้างสรรค์ผลงาน ต้นกำเนิดแห่งเสียงของ R2-D2 และเส้นทางแห่งการสร้างคลังเสียงขนาดมหึมา
บนผืนดินอันวิบากในนิคาซิโอ แคลิฟอร์เนีย ที่ซึ่งมีประชากรเพียงราวหนึ่งพันคน ผู้มาเยือนดินแดนห่างไกลของมารินเคาน์ตีจะโดนห้อมล้อมไปด้วยจิตวิญญาณแห่งโอกาสอันไร้ขีดจำกัด เต็มไปด้วยสายระโยงระยางยาวเหยียดที่ปิดซ่อนไว้และสารพัดอุปกรณ์เครื่องมือคับคั่งด้านใต้
นี่คือที่ตั้งของ Skywalker Ranch โดยพื้นที่ส่วนใหญ่เนรมิตขึ้นและเป็นเจ้าของโดย George Lucas ผู้สร้างมหากาพย์แห่งจักรวาล Star Wars และเสาหลักในฟาร์มแห่งนี้ก็คือ Skywalker Sound ซึ่งเป็นบริษัทระดับโลกด้านผลงานเสียง ตั้งแต่การออกแบบ ตัดต่อ มิกซ์ และโพสต์โปรดักชั่น อาคารก่ออิฐสีแดง พื้นที่ราว 14,214 ตารางเมตร แวดล้อมไปด้วยไร่องุ่นและทะเลสาบ Lake Ewok ที่มนุษย์สร้างขึ้นเอง ตั้งตระหง่านเป็นอนุสรณ์ให้ระลึกถึงคติพจน์ของ Lucas ที่มักย้ำว่า เรื่องเสียงถือเป็นอย่างน้อย 50% ของประสบการณ์ในการไปชมภาพยนตร์
ระบบคลังเสียงอย่าง Soundminer ที่รองรับการใช้คีย์เวิร์ดคำบรรยายเพื่อค้นหาบทประพันธ์อย่างเจาะจงได้เกือบทั้งหมด จะทำงานเคียงข้างไปกับคลังเสียงของ Skywalker Sound ที่ขยายขนาดอย่างไม่มีหยุดจนมีเกือบราวหนึ่งล้านเสียง
ด้วยขุมพลังของแร็ค Mac Pro กว่า 130 เครื่อง ตลอดจนคอมพิวเตอร์ iMac 50 เครื่อง, MacBook Pro 50 เครื่อง และ Mac mini 50 เครื่อง ที่ใช้งาน Pro Tools เป็นแอปพลิเคชันหลักด้านเสียง พร้อมด้วยขบวนทัพอุปกรณ์ต่างๆ ทั้ง iPad, iPhone และ Apple TV กล่าวได้ว่า Skywalker กำลังขับเคลื่อนงานศิลปะด้านเสียงให้ก้าวไปข้างหน้าและเปลี่ยนโฉมวงการ
"ผมเริ่มงานตั้งแต่ยุค Macintosh SE" Ben Burtt นักออกแบบเสียงในตำนานแห่งภาพยนตร์ "Star Wars" ภาคต้นฉบับ ภาคต้น และแฟรนไชส์ "Indiana Jones" กล่าว "การประมวลผลคำเป็นความก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดสำหรับผมในฐานะนักเขียน"
"ในมุมหนึ่งการตัดต่อเสียงก็เหมือนกับการประมวลผลคำ มีการตัดและวางไฟล์ต่างๆ" Burtt กล่าวต่อ "ประสบการณ์ใช้งาน Mac ทั้งหมดที่ผมมีทำให้ผมพร้อมฝึกฝนการตัดต่อเสียงดิจิทัลในทันที ผมเริ่มจากการตัดต่อโดยใช้ Mac ร่วมกับ Final Cut ในช่วงปลายยุค 90 และตอนนี้ผมมีคอมพิวเตอร์ Mac รวม 4 เครื่อง แต่ละเครื่องรับหน้าที่ต่างกันไป แยกหน้าที่กันในการปรับแต่งภาพ ตัดต่อเสียง เขียนต้นฉบับ เรียกว่าผมโดนล้อมไปด้วยเครื่อง และผมตั้งชื่อให้แต่ละเครื่องว่า Alpha, Beta, Gamma และ Delta"
การพูดคุยกับศิลปินคนใดก็แล้วแต่ที่ Skywalker Sound แสดงให้เห็นประจักษ์ชัดว่า ทุกคนต่างล้วนเก็บคลังเสียงบันทึกอันมีค่าเอาไว้เป็นการส่วนตัว "เสียงที่ช่วยกระตุ้นอารมณ์คือสิ่งที่เราแสวงหาตลอดเวลา" Al Nelson หัวหน้าทีมนักตัดต่อเสียงและนักออกแบบเสียงกล่าว
สำหรับนักออกแบบเสียงนั้น แม้แต่อุปกรณ์ที่ล้าสมัยก็อาจสร้างผลงานได้เช่นกัน "ผมชอบความผิดพลาดที่พลิกผันเป็นเรื่องดี และชอบทำอะไรขัดกับเทคโนโลยีเพื่อให้ได้ผลอันไม่คาดคิด" Nelson กล่าว "ผมชอบลองเล่นอะไรแปลกๆ กับระบบดิจิทัล ทำอะไรให้ต่างออกไป จนมันพังและได้เสียงเหมือนกับวิทยุคุณภาพแย่ๆ ผมมี PowerBook เก่ามากอยู่เครื่องหนึ่ง ซึ่งมีซอฟต์แวร์เก่าตัวหนึ่งที่ผมชอบใช้ โดยสามารถใส่เสียงบันทึกเข้าไปและแยกเสียงแบบดิจิทัลได้"
ไม่มีใครรู้ว่าแรงบันดาลใจจะเกิดขึ้นเมื่อไร ผู้รับจ้างรายหนึ่งที่รู้จัก Burtt ต้องคอยมองหาเสียงแปลกๆ อยู่ตลอดเวลาตอนที่โดนเรียกตัวมาบอกว่า เขาได้ยินเสียงพัดลมเพดานที่พังดังแปลกๆ ในอพาร์ตเมนต์ที่เขากำลังซ่อมแซม เสียงใบพัดที่โยกเยกของ Burtt ต่อมาได้กลายเป็นเสียงแห่งลางร้ายของประตูเลเซอร์คั่นกลางการดวลกระบี่เลเซอร์ช่วงสำคัญระหว่าง Qui-Gon Jinn และ Darth Maul ใน "Star Wars: ภาคที่ 1 - The Phantom Menace"
บางครั้งแหล่งที่มาก็โผล่ออกมาเอง "เคยมีคนเขียนถึงผมทางอินเทอร์เน็ตโดยบอกว่า 'ป้าของฉันมีเสียงไอที่ประหลาดมาก คุณอยากอัดเสียงเอาไว้ใช้กับสัตว์ประหลาดไหม'" Burtt กล่าว (Nelson เรียกส่วนประกอบเสียงเหล่านี้ว่า "ของขวัญแห่งสัตว์ประหลาด")
ขณะที่ต้องออกนอกสถานที่เพื่อบันทึกเสียงในธรรมชาติ Baihui Yang หัวหน้าทีมนักตัดต่อเสียง เน้นย้ำถึงประโยชน์ของการมี MacBook Pro นอกสถานที่ว่า "เราสามารถนำเซสชั่น Pro Tools ติดตัวออกไปข้างนอกได้ ทำให้สามารถเฝ้าดู บันทึก และจับมารวมกันได้อย่างรวดเร็ว เพื่อดูว่าใช้ได้หรือไม่ได้" เธอกล่าว "หากต้องนำเสียงบันทึกกลับมาที่สตูดิโอ คุณจะไม่รู้เลยว่าอาจพลาดโอกาสใดไปหรือไม่" นอกจากนี้แอปพลิเคชันอย่าง Keyboard Maestro ก็เป็นส่วนสำคัญในกระบวนการที่ว่า เช่นเดียวกับซอฟต์แวร์ Matchbox ด้วย
ด้วยพื้นฐานด้านกีตาร์คลาสสิกรวมถึงเครื่องดนตรีอื่นๆ บ่อยครั้งที่ Nelson มองหาเสียงเสียงดนตรีทั้งจากโลกภายนอกและภายในห้องมิกซ์เสียง "เราทุกคนเป็นนักดนตรี ไม่ว่าจะเป็นนักดนตรีตามชื่อเรียกหรือนักดนตรีแห่งเสียงก็ตาม" เขากล่าว "ทุกสิ่งล้วนเกี่ยวข้องกับเรื่องระดับเสียงหรือการเรียบเรียงประสาน คุณไม่สามารถเพียงแค่โยนเสียงใส่ไปในจอภาพ แต่ต้องร้อยเรียงและเลือกสิ่งที่ใช่ในแบบเดียวกับที่คุณควบคุมเครื่องดนตรีในวง"
เสียงที่เราคุ้นเคยจาก Apple อย่างเสียงคอร์ด F ชาร์ปตอนเปิดเครื่อง Mac หรือเสียงฟิ้วตอนส่งอีเมล ล้วนมีลักษณะเบื้องหลังที่สำคัญเหมือนกับเสียงส่วนใหญ่ที่เราจดจำได้จาก Star Wars และนั่นก็คือหนึ่งในการกระตุ้นนั่นเอง ลองนึกดูว่าหุ่นยนต์ที่นิ่งสงบลุกพรวดขึ้นมามีชีวิตพร้อมเสียงเตือนและเสียงวงจรเกิดขึ้นบ่อยแค่ไหน หรือเสียงด้ามกระบี่เลเซอร์ที่ทันใดก็ยืดออกจนส่องแสงสว่างจ้านั้นไพเราะเพียงใด หรือเสียงของยานอวกาศที่พุ่งและลอยลำในอวกาศเพื่อเร่งสปีดสู่ความเร็วแสง
"สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จาก Star Wars ก็คือ Ben ใช้เสียงธรรมชาติทั้งหมดเพื่อทำนวนิยายวิทยาศาสตร์" Gary Rydstrom นักออกแบบเสียงผู้คว้ารางวัลออสการ์ 7 ครั้ง ซึ่งเริ่มงานที่ Lucasfilm ตั้งแต่ปี 1983 กล่าว "เขาเก็บเสียงต่างๆ ในจักรวาล Star Wars อย่างอดทนและสมจริง ยึดตามเสียงจริงที่คุณอาจนำไปปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นเสียงอื่นที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ซึ่งช่วยสร้างแรงบันดาลใจได้ดี"
จุดแตกต่างสำคัญในผลงานของ Burtt ก็คือองค์ประกอบในเรื่องการแสดง "ถ้าหากเป็นเสียงแนวแฟนตาซี โดยเฉพาะเสียงเอเลี่ยน สัตว์ประหลาด อาวุธ หรือบรรดาสิ่งแปลกๆ การแสดงช่วยในเรื่องนี้ได้" Burtt กล่าว ในช่วงแรกที่ตามหาเสียงให้กับ R2-D2 ซึ่งเป็นสิ่งกำหนดมาตรฐานว่าการออกแบบเสียงส่งผลต่อการพัฒนาตัวละครอย่างไร Burtt รู้สึกกดดันมากขึ้นเมื่อรู้ว่าหุ่นยนต์จะต้องร่วมฉากกับ Alec Guinness
"ตอนที่ผมนั่งลงและเริ่มลงมือจัดการกับ R2 ในภาพยนตร์ภาคแรก ทันใดนั้นราวกับว่าผมหลุดเข้าไปอยู่ในบทพูด" Burtt อธิบาย "จังหวะเวลามีความสำคัญมาก พอเรารู้ว่ามีบางอย่างที่ใช้ได้ นักตัดต่อภาพต้องย้อนกลับไปและเริ่มตัดต่อฉากใหม่จำนวนมาก ค่อยๆ เปลี่ยนจังวะเวลาทีละน้อย จนเริ่มเข้าที่เข้าทางกลายเป็นจังหวะการพูดจริงแบบที่พบในบทพูดทั่วไป" Burtt ยังคงปรับปรุงความสมจริงในภาคต้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นช่วงที่เขารับหน้าที่ทั้งนักออกแบบเสียงและนักตัดต่อภาพ
ขณะที่เหล่าศิลปินแห่ง Skywalker Sound ต่างช่ำชองกับการถ่ายทำภาพยนตร์ในยุคดิจิทัล แต่คำแนะนำของพวกเขาในเรื่องความตั้งใจและการเป็นผู้สร้างภาพยนตร์มืออาชีพนั้นมีอย่างไม่จำกัด "ผมบอกคนรุ่นใหม่ที่อยากทำงานด้านเสียงในวงการภาพยนตร์ว่า 'คุณต้องฟังเสียงที่เกิดขึ้นในโลกรอบตัวและสร้างคอลเลกชั่นเอฟเฟ็กต์เสียงขึ้นมา'" Burtt กล่าว "แล้วบันทึกเสียงและจัดแบ่งประเภทให้เรียบร้อย เพราะเมื่อใดก็ตามที่คุณสร้างคลังเสียงขึ้นมา แสดงว่าคุณกำลังสร้างสรรค์ตัวเลือก อีกเรื่องหนึ่งก็คือทุกวันนี้มีแอปพลิเคชันมากมายที่ราคาไม่แพงซึ่งสามารถเข้าถึงได้บน iPad หรือ MacBook โดยช่วยให้คุณสามารถตัดต่อและมิกซ์เสียงที่บ้านได้ทุกรูปแบบ ซึ่งผมไม่เคยทำแบบนี้ได้มาก่อน หากผมได้กลับไปเป็นผู้สร้างภาพยนตร์สมัยวัยรุ่นอีกครั้ง คงต้องทึ่งมาก คงจะมีโดรนและสามารถบันทึกเสียงได้ทุกรูปแบบ ซึ่งในช่วงเริ่มต้นอาชีพของผม ไม่สามารถทำอะไรแบบนี้ได้เลย"
Nelson ยังยืนยันด้วยว่า เสียงบันทึกจาก iPhone นั้น "ใช้ได้อย่างสมบูรณ์" ในระดับมืออาชีพ
"ไม่ว่าจะทำวิธีไหนก็แล้วแต่" Rydstrom กล่าว "ให้คิดเรื่องเสียงเอาไว้ตั้งแต่ต้น เพราะนี่คือหนึ่งในเครื่องมือการเล่าเรื่องของคุณ และอยากย้ำว่านี่เป็นเครื่องมือการเล่าเรื่องที่มีประสิทธิภาพสูงสุดแบบหนึ่งหากมองในแง่การถ่ายทำและการตัดต่อ"
"โดยทั่วไปคุณสามารถใช้เสียงบอกเล่าเรื่องราวได้มากมายโดยมีต้นทุนถูกกว่าการใช้ภาพ และบางครั้งยังส่งผลทางอารมณ์ได้มากกว่าด้วย" Rydstrom กล่าวต่อ "หากคุณสนใจเรื่องเสียงหรือการทำภาพยนตร์ คุณสามารถบันทึกวิดีโอ 4K+ บน iPhone ได้ด้วย เรียกว่าไม่มีข้ออ้างได้เลย สิ่งของที่เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตแต่ละวันก็คือสิ่งเดียวกับที่คุณต้องใช้บันทึกเสียงและถ่ายทำภาพยนตร์ นี่คือการปฏิวัติวงการที่แท้จริง ที่สำคัญนี่ยังช่วยให้เข้าถึงกระบวนการทั้งหมดได้ง่ายขึ้นด้วย"
แชร์บทความ
Media
-
เนื้อหาของบทความนี้
-
รูปภาพในบทความนี้