ข่าวประชาสัมพันธ์ 4 มิถุนายน 2562

Apple เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ที่ปฏิวัติวงการสำหรับการพัฒนาแอพ

เฟรมเวิร์ก SwiftUI ลุดล้ำ, ARKit 3 และเครื่องมือใหม่สำหรับ Xcode ซึ่งจะช่วยให้การพัฒนาแอพที่ทรงพลังง่ายและเร็วยิ่งกว่าที่เคย

ARKit มอบประสบการณ์ AR ที่เต็มอิ่มสมจริงมากขึ้น และยังเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีการพัฒนาสุดล้ำล่าสุดสำหรับนักสร้างสรรค์แอพ
เมืองซานโฮเซ รัฐแคลิฟอร์เนีย — วันนี้ Apple ได้เปิดตัวเทคโนโลยีที่เปี่ยมด้วยนวัตกรรมจำนวนมาก ซึ่งจะเป็นการพลิกโฉมการทำงานของเหล่านักพัฒนาให้สามารถสร้างสรรค์แอพใหม่ที่ทรงพลังได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น SwiftUI เป็นเฟรมเวิร์กการพัฒนาระดับปฏิวัติวงการ ที่จะช่วยให้สามารถสร้างอินเทอร์เฟซผู้ใช้ที่ทรงพลังได้ง่ายขึ้นกว่าที่เป็นมา ARKit 3, RealityKit และ Reality Composer เป็นเครื่องมือล้ำสมัยที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างสรรค์ประสบการณ์ AR ที่ น่าดึงดูดใจได้ง่ายขึ้น ทั้งในแอพสำหรับผู้บริโภคและสำหรับธุรกิจ เครื่องมือและ API ใหม่สามารถช่วยลดความซับซ้อนของกระบวนการในการนำ แอพ iPad ไปสู่ Mac ลงได้อย่างมาก และการอัพเดทสำหรับ Core ML และ Create ML ยังช่วยให้แอพการเรียนรู้ของระบบบนอุปกรณ์ทั้งทรงพลังและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น
“เทคโนโลยีการพัฒนาแอพใหม่ที่เปิดตัวในวันนี้ จะช่วยให้การพัฒนาแอพเร็วขึ้น ง่ายขึ้น และสนุกสนานยิ่งขึ้นสำหรับนักพัฒนา อีกทั้งยังเป็นการสะท้อนถึงอนาคตของการพัฒนาแอพบนแพลตฟอร์มของ Apple ทั้งหมดอีกด้วย” Craig Federighi รองประธานอาวุโสฝ่ายวิศวกรรมซอฟต์แวร์ของ Apple กล่าว “SwiftUI ถือเป็นการพลิกโฉมการสร้างสรรค์อินเทอร์เฟซผู้ใช้ โดยการทำให้ กระบวนการส่วนใหญ่เป็นแบบอัตโนมัติ อีกทั้งยังมีการแสดงตัวอย่างแบบเรียลไทม์ เพื่อให้เห็นการทำงานของโค้ด UI ในแอพจริงๆ ซึ่งเราคิดว่าจะต้องถูกใจนักพัฒนาอย่างแน่นอน"
iPad และ MacBook Pro แสดงเกมแข่งรถ “Asphalt 9: Legends” บนหน้าจอ
Xcode จะช่วยให้การนำโปรเจ็กต์ iPad ที่มีอยู่แล้วไปสู่ Mac สะดวกง่ายดายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

SwiftUI

วิสัยทัศน์สำหรับ Swift นั้นมีอยู่เพียงประการเดียว นั่นก็คือ การช่วยให้การพัฒนาแอพนั้นรวดเร็ว ง่ายดาย และอินเทอร์แอคทีฟมากขึ้น และเฟรมเวิร์ก UI ที่มีความทันสมัยก็เป็นส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์อันนี้ SwiftUI มาพร้อมเฟรมเวิร์กอินเทอร์เฟซผู้ใช้ใหม่ ที่แสนทรงพลังและง่ายต่อการใช้งาน สำหรับการสร้าง UI บนแอพที่มีความซับซ้อน นักพัฒนาสามารถใช้โค้ดแบบ Declarative ที่เรียบง่ายและเข้าใจไม่ยากในการสร้างอินเทอร์เฟซผู้ใช้ที่มีคุณสมบัติต่างๆ ครบครันและสวยงามอย่างน่าทึ่ง อีกทั้งยังแสดงผลด้วยแอนิเมชั่นได้อย่างลื่นไหล SwiftUI สามารถประหยัดเวลาให้กับนักพัฒนาด้วยคุณสมบัติการทำงานแบบอัตโนมัติจำนวนมาก ซึ่งประกอบด้วยเลย์เอาท์สำหรับอินเทอร์เฟซ โหมดมืด การช่วยการเข้าถึง การสนับสนุนสำหรับภาษาที่เขียนจากขวามาซ้าย และการทำให้เป็นสากล แอพ SwiftUI ทำงานกับระบบจริงของเครื่องโดยตรงและไวสุดๆ และเนื่องจาก SwiftUI เป็น API ระบบเดียวกันทั้งที่อยู่ใน iOS, iPadOS, macOS, watchOS และ tvOS นักพัฒนาจึงสามารถสร้างแอพที่ทำงานกับระบบจริงของเครื่องโดยตรงที่มีความสมบูรณ์แบบ บนทุกแพลตฟอร์มของ Apple ได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น
เลย์เอาท์เครื่องมือการออกแบบสำหรับ SwiftUI
SwiftUI เป็นเฟรมเวิร์ก UI ที่มีความทันสมัย ซึ่งช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างแอพที่ทำงานกับระบบจริงของเครื่องโดยตรงบนทุกแพลตฟอร์มของ Apple ได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น

Xcode 11 ทำให้ SwiftUI กลายเป็นความจริง

เครื่องมือการออกแบบ UI แบบกราฟิกใหม่ที่มาพร้อม Xcode 11 ช่วยให้นักออกแบบ UI สามารถสร้างสรรค์อินเทอร์เฟซผู้ใช้ด้วย SwiftUI ได้อย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่จำเป็นต้องเขียนโค้ดแม้แต่ตัวเดียว โดยโค้ด Swift จะถูกสร้างขึ้นแบบอัตโนมัติ และเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงโค้ด ความเปลี่ยนแปลงใน UI ดังกล่าวก็จะแสดงในเครื่องมือการออกแบบแบบแสดงผลด้วยภาพทันที ตอนนี้นักพัฒนาก็จะสามารถดูตัวอย่าง UI แบบเรียลไทม์ พร้อมแสดงลักษณะการทำงาน ได้โดยอัตโนมัติ  ในระหว่างที่พวกเขาสร้างสรรค์ ทดสอบ และปรับปรุงโค้ด ความสามารถในการเคลื่อนย้ายอย่างอิสระระหว่างการออกแบบกราฟิกและการเขียนโค้ด ช่วยให้การพัฒนา UI สนุกสนานและมีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์และนักออกแบบ UI สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้นอีกด้วย โดยสามารถแสดงตัวอย่างได้โดยตรงบนอุปกรณ์ Apple ที่เชื่อมต่อ ซึ่งประกอบด้วย iPhone, iPad, iPod touch, Apple Watch และ Apple TV ช่วยให้นักพัฒนาสามารถสังเกตการโต้ตอบของแอพกับ Multi-Touch หรือการทำงานร่วมกับกล้องและเซ็นเซอร์ในตัวเครื่องได้ทันที ในระหว่างการสร้างอินเทอร์เฟซ

เทคโนโลยีความจริงเสริม

ARKit 3 ทำให้ผู้คนเป็นศูนย์กลางของ AR Motion Capture ช่วยให้นักพัฒนาสามารถผนวกความเคลื่อนไหวของผู้คนเข้ากับแอพของพวกเขา และด้วย People Occlusion คอนเทนต์ AR จะปรากฏขึ้นอย่างธรรมชาติบริเวณด้านหน้าหรือด้านหลังของบุคคล เพื่อมอบประสบการณ์ AR ที่สมจริงยิ่งขึ้น และแอพพลิเคชั่นความจริงเสริมที่ผสานโลกแห่งจินตนาการเข้ากับโลกจริงได้อย่างสนุกสนาน นอกจากนี้ ARKit 3 ยังช่วยให้กล้องหน้าสามารถติดตามใบหน้าได้สูงสุดถึงสามใบหน้า รวมถึงสามารถให้การสนับสนุนทั้งกล้องหน้าและหลังได้ในเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีเซสชั่นการทำงานร่วมกัน ที่ช่วยให้การเข้าร่วมประสบการณ์ AR แบบแชร์ทำได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
การติดตามความเคลื่อนไหวใน ARKit 3 ทำให้ผู้คนเป็นศูนย์กลางของ AR โดยมีการเคลื่อนไหวที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น
RealityKit ได้รับการสร้างขึ้นใหม่ตั้งแต่ต้นเพื่อ AR โดยมาพร้อมการเรนเดอร์ภาพที่สมจริง รวมไปถึงการสร้างแผนภาพสภาพแวดล้อมที่เหลือเชื่อ และสนับสนุนเอฟเฟ็กต์กล้องอย่างนอยซ์และการเบลอจากความเคลื่อนไหว ทำให้คอนเทนต์เสมือนมีความสมจริงจนแทบแยกไม่ออก นอกจากนี้ RealityKit ยังมาพร้อมแอนิเมชั่นที่น่าทึ่ง ฟิสิกส์ และสัญญาณเสียงที่สมจริงในด้านตำแหน่ง อีกทั้งนักพัฒนายังสามารถใช้ประโยชน์จากความสามารถของ RealityKit ผ่านทาง RealityKit Swift API ใหม่ได้อีกด้วย Reality Composer แอพใหม่สุดทรงพลังสำหรับ iOS, iPadOS และ Mac ช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างโปรแกรมตัวอย่างและสร้างสรรค์ประสบการณ์ AR ได้โดยไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์แบบ 3D มาก่อน ด้วยอินเทอร์เฟซแบบ ลากแล้ววาง แบบง่ายๆ และไลบรารี่วัตถุ 3 มิติและแอนิเมชั่น คุณภาพสูง Reality Composer ช่วยให้นักพัฒนาสามารถวาง ย้าย และหมุนวัตถุ AR เพื่อสร้างสรรค์ประสบการณ์ AR ซึ่งสามารถนำไปผนวกรวมเข้ากับแอพใน Xcode หรือส่งออกไปยัง AR Quick Look ได้
Reality Composer และ RealityKit ช่วยให้การสร้างแอพ AR ทำได้ง่ายกว่าที่เคย

นำแอพ iPad มาสู่ Mac ได้ง่ายขึ้น

เครื่องมือใหม่และ API ช่วยให้สามารถนำแอพ iPad มาสู่ Mac ได้ง่ายกว่าครั้งไหนๆ ด้วย Xcode นักพัฒนาสามารถเปิดโปรเจ็กต์ iPad ที่มีอยู่แล้ว จากนั้นก็แค่ทำเครื่องหมายลงในกล่องทำเครื่องหมายเพียงช่องเดียว เพื่อเพิ่มคุณสมบัติพื้นฐานสำหรับ Mac และ Windowing และแพลตฟอร์มแบบปรับได้ ซึ่งประกอบด้วยองค์ประกอบพิเศษอย่างการควบคุมคีย์บอร์ดและเมาส์ด้วยการสัมผัส เพื่อช่วยให้การสร้างแอพทำงานกับระบบ Mac โดยตรงง่ายและรวดเร็วขึ้น แอพสำหรับ Mac และ iPad ถูกพัฒนาขึ้นในโปรเจ็กต์เดียวกันและใช้ซอร์สโค้ดร่วมกัน ดังนั้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในโค้ดสำหรับแอพเวอร์ชั่น iPadOS และ macOS ก็จะสามารถช่วยประหยัดเวลาให้กับนักพัฒนา รวมไปถึงการประหยัดทรัพยากรจากการให้ทีมงานเพียงทีมเดียวทำงานกับแอพทั้งสองเวอร์ชั่น ด้วยแอพทั้งในเวอร์ชั่นสำหรับ Mac และ iPad ผู้ใช้ยังสามารถเพลิดเพลินกับความสามารถที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละแพลตฟอร์ม รวมไปถึงความรวดเร็วและแม่นยำในการใช้งานคีย์บอร์ด เมาส์ และแทร็คแพดของ Mac รวมไปถึง Touch Bar ซึ่งเป็นฟีเจอร์อันเป็นเอกลักษณ์ของ Mac
MacBook Pro แสดงซอร์สโค้ดบนจอภาพ
ตอนนี้นักพัฒนาสามารถแชร์โปรเจ็กต์และซอร์สโค้ดเดียวกันทั้งในแอพสำหรับ Mac และ iOS

Core ML และ Create ML

Core ML 3 สนับสนุนการเร่งความเร็วสำหรับโมเดลการเรียนรู้ของระบบแบบเรียลไทม์ที่ล้ำสมัยหลากหลายประเภท โดยอาศัยชั้นของโมเดลกว่า 100 ชั้นที่สนับสนุนโดย Core ML แอพจำนวนมากสามารถใช้ประโยชน์จากโมเดลสุดล้ำ เพื่อมอบประสบการณ์ที่สามารถเข้าใจวิสัยทัศน์ ภาษาธรรมชาติและคำพูดได้อย่างลึกซึ้งแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน และครั้งนี้ยังเป็นครั้งแรกที่นักพัฒนาสามารถอัพเดทโมเดลการเรียนรู้ของระบบบนอุปกรณ์ โดยใช้การปรับแต่งโมเดลส่วนบุคคล เทคนิคที่ล้ำสมัยนี้เปิดโอกาสให้นักพัฒนาสามารถมอบคุณสมบัติที่มีความเป็นส่วนตัวได้ โดยไม่จำเป็นต้องลดความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ลง ด้วย Create ML ซึ่งเป็นแอพที่ออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของระบบ นักพัฒนาจะสามารถสร้างโมเดลการเรียนรู้ของระบบได้โดยไม่จำเป็นต้องเขียนโค้ด วิธีการฝึกสอนโมเดลหลายครั้งด้วยชุดข้อมูลที่แตกต่างกัน จะสามารถนำมาใช้กับโมเดลประเภทใหม่ๆ อย่าง การตรวจจับวัตถุ การแยกแยะกิจกรรมและเสียงได้
iPhone แสดงประสบการณ์ HomeCourt AR
Core ML 3 มาพร้อมประสิทธิภาพการทำงานที่เร็วสุดแรง ช่วยให้นักพัฒนาสามารถผนวกรวมโมเดลการเรียนรู้ของระบบกับแอพของพวกเขาได้อย่างง่ายๆ

Apple Watch

การเปิดตัว watchOS 6 และ App Store บน Apple Watch หมายความว่า ตอนนี้นักพัฒนาสามารถสร้างและออกแบบแอพสำหรับ Apple Watch ที่ทำงานได้อย่างอิสระ โดยที่ไม่จำเป็นต้องมี iPhone อีกต่อไป
นอกจากนี้ นักพัฒนายังสามารถใช้ประโยชน์จาก Apple Neural Engine บน Apple Watch Series 4 โดยใช้ Core ML ได้อีกด้วย โดยการผสมผสานโมเดลที่ผ่านการฝึกสอนโดย Core ML เข้ากับแอพของนักพัฒนา และการตีความค่าอินพุตบนอุปกรณ์ ผู้ใช้ก็จะได้ใช้งานแอพที่มีความเฉลียวฉลาดมากยิ่งขึ้น API การสตรีมสัญญาณเสียงใหม่จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถสตรีมจากแอพมีเดียโปรดจากบริษัทอื่นของพวกเขาได้โดยตรงผ่าน Apple Watch API รันไทม์ที่ได้รับการขยายขีดความสามารถจะเพิ่มระยะเวลาให้กับแอพในการทำงานบน Apple Watch ให้สำเร็จ ในขณะที่แอพยังคงแสดงผลอยู่บนหน้าจอ แม้ว่าหน้าจอจะปิดไปแล้วก็ตาม รวมไปถึงการเข้าถึงเซ็นเซอร์ที่ได้รับอนุญาต สำหรับการวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ตำแหน่งที่ตั้งและการเคลื่อนไหว
App Store บน Apple Watch
App Store บน Apple Watch เป็นการเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ๆ สำหรับนักพัฒนา

ใช้งาน Apple ID แบบทั้งรวดเร็ว ง่ายดาย และเป็นส่วนตัว

Sign In with Apple (ลงชื่อเข้าใช้ด้วย Apple) ช่วยให้การลงชื่อเข้าใช้แอพและเว็บไซต์ด้วย Apple ID ของผู้ใช้ที่มีอยู่แล้วง่ายขึ้น แทนที่จะต้องกรอกฟอร์ม ยืนยันที่อยู่อีเมล หรือตั้งรหัสผ่าน เพียงแค่ใช้ Apple ID ผู้ใช้ก็สามารถตั้งค่าบัญชีและเริ่มต้นใช้งานแอพได้ทันที ซึ่งเป็นการช่วยเพิ่มระยะเวลาการเข้าใช้งานแอพของผู้ใช้ บัญชีทั้งหมดจะได้รับการปกป้องด้วยการตรวจสอบสิทธิ์สองปัจจัย ทำให้ การลงชื่อเข้าใช้ด้วย Apple เป็นวิธีการที่ยอดเยี่ยมสำหรับนักพัฒนาในการปรับปรุงการรักษาความปลอดภัยให้กับแอพของพวกเขา Sign In with Apple ยังมาพร้อมคุณสมบัติใหม่สำหรับต่อต้านการฉ้อโกง เพื่อมอบความมั่นใจให้กับนักพัฒนา ว่าผู้ใช้คนใหม่จะเป็นคนจริงๆ ไม่ใช่บ็อทหรือ บัญชี Farm account Relay Service สำหรับอีเมลที่ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัว ช่วยให้ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยที่อยู่อีเมลส่วนบุคคล แต่ยังคงสามารถรับข้อความสำคัญจากนักพัฒนาได้ และเนื่องจาก Apple ไม่ได้ติดตามกิจกรรมการใช้งานแอพของผู้ใช้ หรือสร้างโปรไฟล์การใช้งานแอพ ข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจของนักพัฒนาและผู้ใช้จึงได้รับเก็บรักษาเอาไว้ที่นักพัฒนา
Sign In with Apple บน Bird app
Sign In with Apple มอบประโยชน์ที่หลากหลายให้กับทั้งนักพัฒนาและผู้ใช้

คุณสมบัติอื่นๆ สำหรับนักพัฒนา

  • PencilKit ช่วยให้นักพัฒนาสามารถเพิ่มการสนับสนุน Apple Pencil สำหรับแอพได้อย่างง่ายๆ และยังรวมไปถึงการปรับรูปแบบ Tool Palette ด้วย
  • SiriKit เพิ่มการสนับสนุนแอพเสียงจากบริษัทอื่น ซึ่งประกอบด้วยเพลง พ็อดคาสท์ และหนังสือเสียง ตอนนี้นักพัฒนาจึงสามารถผนวก Siri เข้ากับแอพ iOS, iPadOS และ watchOS ของพวกเขาได้โดยตรง เพื่อให้สามารถควบคุมสัญญาณเสียงของพวกเขาด้วยคำสั่งเสียงแบบง่ายๆ ได้
  • MapKit ตอนนี้มาพร้อมคุณสมบัติใหม่ๆ สำหรับนักพัฒนา เช่น Vector Overlays, การกรองจุดสนใจ, การจำกัดการซูมและการหมุนกล้อง และการรองรับโหมดมืด
  • นอกเหนือไปจากการปรับปรุงด้านภาษา โดยเน้นไปที่ SwiftUI แล้ว Swift 5.1 ยังเพิ่ม Module Stability ซึ่งถือเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการสร้างเฟรมเวิร์กที่สามารถทำงานร่วมกับรหัสไบนารี่ใน Swift ได้
  • โค้ดใหม่ที่เกี่ยวข้องกับตระกูล Metal Device อันทรงพลังช่วยสนับสนุนการแชร์โค้ดระหว่าง GPU ประเภทต่างๆ หลายตัวบนแพลตฟอร์ม Apple ทั้งหมด ในขณะที่การสนับสนุน iOS Simulator ช่วยให้การสร้างแอพ Metal สำหรับ iOS และ iPadOS ทำได้ง่ายขึ้น

ภาพเครื่องมือสำหรับนักพัฒนา

สื่อมวลชนสัมพันธ์

ช่องทางให้ความช่วยเหลือของ Apple สำหรับสื่อมวลชน

media.thailand@apple.com